วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553


ฮิสโตแกรม (Histogram)

คือ กราฟแท่งแบบเฉพาะ โดยแกนตั้งจะเป็นตัวเลขแสดง “ ความถี่ ” และมีแกนนอนเป็นข้อมูลของคุณสมบัติของสิ่งที่เราสนใจ โดยเรียงลำดับจากน้อย ที่ใช้ดูความแปรปรวนของกระบวนการ โดยการสังเกตรูปร่างของฮิสโตแกรมที่สร้างขึ้นจากข้อมูลที่ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่าง


วิธีการเขียนฮิสโตแกรม (Histogram) • เก็บรวบรวมข้อมูล (ควรรวบรวมประมาณ 100 ข้อมูล) • หาค่าสูงสุด (L) และค่าต่ำสุด (S) ของข้อมูลทั้งหมด • หาค่าพิสัยของข้อมูล (R-Range)
สูตร R = L - S
• หาค่าจำนวนชั้น (K)
สูตร K = Square root of (n) โดย n คือ จำนวนข้อมูลทั้งหมด
• หาค่าความกว้างช่วงชั้น (H-Class interval)
สูตร H = R/K หรือ พิสัย / จำนวนชั้น
• หาขอบเขตของชั้น (Boundary Value)
ขีดจำกัดล่างของชั้นแรก = S – หน่วยของการวัด / 2
ขีดจำกัดบนของชั้นแรก = ขีดจำกัดล่างชั้นแรก + H
• หาขีดจำกัดล่างและขีดจำกัดบนของชั้นถัดไป
• หาค่ากึ่งกลางของแต่ละชั้น (Median of class interval)
ค่ากึ่งกลางชั้นแรก = ผลรวมค่าขีดจำกัดชั้นแรก / 2
ค่ากึ่งกลางชั้นสอง = ผลรวมค่าขีดจำกัดชั้นสอง / 2
• บันทึกข้อมูลในรูปตารางแสดงความถี่ • สร้างกราฟฮิสโตแกรม



ลักษณะต่างๆ ของฮิสโตแกรม • แบบปกติ (Normal Distribution)
การกระจายของการผลิตเป็นไปตามปกติ ค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่จะอยู่ตรงกลาง

• แบบแยกเป็นเกาะ (Detached Island Type)
พบเมื่อกระบวนการผลิตขาดการปรับปรุง/หรือการผลิตไม่ได้ผล

• แบบระฆังคู่ (Double Hump Type)
พบเมื่อนำผลิตภัณฑ์ของเครื่องจักร 2 เครื่อง / 2 แบบมารวมกัน

• แบบฟันปลา (Serrated Type)
พบเมื่อเครื่องมือวัดมีคุณภาพต่ำ หรือการอ่านค่ามีความแตกต่างกันไป

• แบบหน้าผา (Cliff Type)
พบเมื่อมีการตรวจสอบแบบ Total Inspection เพื่อคัดของเสียออกไป




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น